พัฒนาการและทิศทางในการศึกษารัฐศาสตร์ตั้งแต่ยุคกรีกโบราณจนถึงปัจจุบัน
แบ่งได้เป็น 5 ยุค คือ
1. ยุคคลาสสิก (THE CLASSICAL PERIOD)
2. ยุคสถาบัน (THE INSTITUTIONAL)
3. ยุคเปลี่ยนผ่าน (THE TRANSITIONAL PERIOD)
4. ยุคพฤติกรรมศาสตร์(THE BEHAVIORAL PERIOD)
5. ยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์ (THE POST –BESITIONAL PERIOD)
ยุคคลาสสิก (THE CLASSICAL PERIOD)ตั้งแต่ยุคกรีกโบราณ ถึง กลาง ค.ศ.ที่ 19
- หรือที่เรียกกันอีกอย่างหนึ่งว่า “การศึกษาในเชิงปทัสถาน”
- เป็นศึกษาในเชิงการเมือง มีเป้าหมายหลักของการศึกษาอยู่ที่ “การศึกษาเกี่ยวกับสิ่งที่ควรจะเป็น มากกว่าการศึกษาวิเคราะห์สิ่งที่เป็นอยู่”
- การศึกษาวิเคราะห์ยังขึ้นอยู่กับค่านิยม ปทัสถานและมุมมองของผู้ศึกษาเป็นหลัก
- ในแง่ระเบียบการศึกษาวิธีการศึกษามักจะใช้วิธีอธิบาย “แบบนิรนัย”(DEDUCTIVE METHOD)ไม่แยกข้อเท็จจริงออกจากค่านิยม
- วิธีการศึกษามีลักษณะเป็นการเสนอแนะสิ่งที่พึงปฏิบัติมากเท่าๆกับการให้ “อรรถาธิบายในเชิงเหตุผล”
โดยสรุป
ลักษณะสำคัญๆของการศึกษารัฐศาสตร์ยุคคลาสสิก คือ
- เป็นการศึกษาในเชิงปรัชญาการเมือง
- แนวทางในการวิเคราะห์ขึ้นอยู่กับ ค่านิยม ปทัสถาน และมุมมองของผู้ศึกษาเป็นหลัก
- ในแง่ของระเบียบวิธีในการศึกษาใช้วิธีการอธิบาย “แบบนิรนัย”ไม่แยกข้อเท็จจริงออกจากค่านิยม มุ่งศึกษาวิเคราะห์สิ่งที่เป็นอยู่ในขณะนั้น
- การศึกษารัฐศาสตร์ยุคคลาสสิคจึงมีลักษณะเสนอแนะสิ่งที่พึงปฏิบัติมากเท่าๆกับการให้อรรถาธิบายในเชิงเหตุผล
ยุคสถาบัน (THE INSTITUTIONAL) ตั้งแต่ ศตวรรษที่ 19
- เน้นการศึกษาสถาบันทางการเมืองที่จัดตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการในแง่โครงสร้างและอำนาจหน้าที่ตามกฏหมาย
- เป้าหมายของการศึกษาอยู่ที่การชี้ให้เห็นสภาพและความเป็นไปของสิ่งที่ศึกษาในรายละเอียด เพื่อทำความเข้าใจและหาข้อสรุปเชิงหลักปฏิบัติ
- โดย “ไม่มีเป้าหมายที่จะพัฒนาแนวการอธิบายในเชิงทฤษฎีแต่อย่างใด”
- การศึกษารัฐศาสตร์ในยุคนี้ จึงไม่ใช่การแสวงหารูปแบบการปกครองที่ดีอีกต่อไป แต่เป็นประเด็นของการสร้างสรรค์ระบอบประชาธิปไตย
วิธีการศึกษารัฐศาสตร์ในยุคสถาบันใช้วิธีการสำคัญ 3 ด้าน คือ
- การพรรณาและการหาข้อสรุปสรุปเชิงอุปนัย
- การวิเคราะห์องค์กรที่เป็นทางการของรัฐจากมุมมองด้านกฏหมาย
- การอาศัยวิธีการเปรียบเทียบและข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์เป็นเครื่องมือในการค้นคว้าวิจัย
โดยสรุป
- พัฒนาการของการศึกษารัฐศาสตร์ในยุคสถาบันเกิดท่ามกลางกระแสของการพัฒนาประชาธิปไตยที่เกิดขึ้นในยุโรป ในศตวรรษที่ 19
- เน้นการศึกษาสถาบันทางการเมืองที่จัดตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ ในแง่โครงสร้างและอำนาจหน้าที่ตามกฏหมาย
- หน่วยวิเคราะห์ในการศึกษาทางการเมืองระดับชาติได้แก่
· สถาบันทางการเมืองที่เป็นสถาบันหลักทางการเมือง เช่น รัฐสภา /รัฐบาล/ ศาล
· กฏหมายที่กำหนดอำนาจหน้าที่ของสถาบันทางการเมือง
· กลไกและกระบวนการสำคัญทางการเมือง
- ในระดับระว่างประเทศ
· มุ่งศึกษารัฐ ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ และองค์การระหว่างประเทศ จากแง่มุมของกฏหมายระหว่างประเทศข้อตกลงระหว่างรัฐ และระเบียบปฏิบัติทางการทูต
- ในการศึกษาการบริหารของรัฐ
· จะศึกษาโครงสร้างและบทบาทของระบบราชการ ตลอดจนแนวทางในการปฏิบัติตามหลักกฏหมายต่างๆ
· ทำความเข้าใจและหาข้อสรุปเชิงหลักปฏิบัติโดยไม่มีเป้าหมายที่จะพัฒนาแนวทางอธิบายในเชิงทฤษฎีแต่อย่างใด
การศึกษารัฐศาสตร์ในยุคนี้ ได้ขยายตัวออกไปอย่างกว้างขวางจนถึงขั้นที่มีการจัดตั้งสถาบันการศึกษาทางรัฐศาสตร์ หรือ หลักสูตรวิชารัฐศาสตร์ขึ้นอย่างเป็นทางการในหลายประเทศ ทั้งในยุโรปและสหรัฐอเมริกา
ยุคเปลี่ยนผ่าน (THE TRANSITIONAL PERIOD)
- เกิดจากความพยายามของนักรัฐศาสตร์ชาวอเมริกันที่ต้องการสร้างเอกลักษณ์ให้กับการศึกษารัฐศาสตร์
- มุ่งยกระดับให้รัฐศาสตร์มีสถานะเป็นวิทยาศาสตร์ ในทำนองเดียวกับองค์ความรู้ในด้านวิทยาศาสตร์ธรรมชาติทั้งหลาย
- โดยได้พยายามหาทางพัฒนาขอบข่ายและวิธีการศึกษาด้านรัฐศาสตร์ให้แตกต่างจากประวัติศาสตร์และสังคมศาสตร์สาขาอื่น
- เริ่มหันมาสนใจศึกษาการเมืองที่เกิดขึ้นจริงๆ จากข้อเท็จจริงที่เป็นอยู่มากขึ้น แทนที่จะเน้นศึกษาเฉพาะองค์กรที่เป็นทางการ หรือ ศึกษาเรื่องราวต่างๆจากเอกสารทางประวัติศาสตร์อย่างที่เคยเป็นมา
- มีการปรับปรุงเทคนิดและขอบข่ายในการศึกษาให้ทันสมัยและสอดคล้องกับความเป็นจริงมากขึ้น และ มีการนำแนวคิดและวิธีการศึกษาของสาชาวิชาอื่น เช่น ฟิสิกส์ จิตวิทยา สถิติ และเศรษฐศาสตร์ มาใช้ในการศึกษารัฐศาสตร์
โดยสรุป
- การศึกษาในยุคเปลี่ยนผ่านเกิดช่วงระหว่างต้นศตวรรษที่ 20 จนถึงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2
- เกิดจากความพยายามของนักรัฐศาสตร์จำนวนหนึ่งที่ต้องการสร้าง “เอกลักษณื”ให้กับการศึกษารัฐศาสตร์
- ในขณะเดียวกันก็มุ่งยกระดับศาสตร์ด้านนี้ให้มีสถานะเป็นวิทยาศาสตร์ในทำนองเดียวกับองค์ความรู้ในด้านวิทยาศาสตร์ธรรมชาติทั้งหลาย
- ต้องการพัฒนาขอบข่ายและวิธีการศึกษาด้านรัฐศาสตร์ให้แตกต่างประวัติศาสตร์และสังคมศาสตร์อื่น
- สนใจการเมืองที่เกิดขึ้นจริงๆจากข้อเท็จจริงที่เป็นอยู่มากขึ้น
- การศึกษารัฐศาสตร์ได้รับอิทธิพลของแนวคิดและวิธีการศึกษาของสาขาวิชาอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสาขาที่ถือกันว่าประสบความสำเร็จในทางวิชาการ เช่นฟิสิกส์ จิตวิทยา สถิติ และเศรษฐศาสตร์
ยุคพฤติกรรมศาสตร์ (THE BEHAVIORAL PERIOD)
- เริ่มต้นจากการเกิดขบวนการพฤติกรรมการเมืองที่ต้องการให้วงการวิชาการรัฐศาสตร์หันมาศึกษาการเมือง
- โดยการใช้พฤติกรรมของ “ปัจเจกบุคคล”ในสถานการณ์ทางการเมืองต่างๆ เป็นหน่วยวิเคราะห์แทนสถาบันทางการเมือง
- มีการนำวิธีการของวิทยาศาสตร์ธรรมชาติมาใช้ในการศึกษารัฐศาสตร์มากขึ้น โดยเฉพาะการสร้าง “ทฤษฎีเชิงประจักษ์”ที่มีระเบียบแบบแผน การเปลี่ยนแปลงแนวคิดและวิธีการศึกษาทางรัฐศาสตร์
- การเมืองที่มีอิทธิพลครอบงำรัฐศาสตร์อยู่นั้นขยายตัวออกไปอย่างมากมายและส่งผลให้เกิดการนำแนวคิดทฤษฎีใหม่ๆเข้ามาใช้ใน “การศึกษาทางรัฐศาสตร์”
เดวิด อีสตัน (DAVID EASTON) นายกสมาคมรัฐศาสาตร์อเมริกัน
ให้ทรรศนะลักษณะของการศึกษาด้านพฤติกรรมทางการเมืองสามารถเห็นได้จากวัตถุประสงค์และฐานคติหลักในการศึกษาด้านนี้ 8 ประการ
โดยสรุป
การศึกษารัฐศาสตร์ยุคพฤติกรรมศาสตร์
- มุ่งที่จะศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์ในสังคมในทุกด้าน
- โดยอาศัยแนวคิดทางทฤษฎีและวิธีการศึกษาที่เกี่ยวข้องจากสังคมศาสตร์และวิทยาศาสตร์ทุกสาขา
- การศึกษารัฐศาสตร์ในเชิงพฤติกรรมศาสตร์ในยุคนี้จึงมีขอบเขตการศึกษาที่กว้างขวางครอบคุลมสังคมศาสตร์ทุกสาขา
ยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์ (THE POST –BESITIONAL PERIOD) ต้นทศวรรษ 1970
- เป็นผลมาจากกระแส “การต่อต้านการศึกษา “เชิงพฤติกรรมการเมือง”
- โดยเริ่มเห็นถึงจุดอ่อนของการนำวิธีการทางวิทยาศาสตร์มาใช้ในการศึกษาพฤติกรรมมนุษย์ และ ต้องการให้มีการนำความรู้ด้านรัฐศาสตร์ไปใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อสังคมมากขึ้น
- จึงเกิดขบวนการผลักดันให้มีการปฏิรูปการศึกษารัฐศาสตร์ที่เรียกว่า “การปฏิวัติยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์”ที่เปลี่ยนแปลงทิศทางการศึกษารัฐศาสตร์
- โดยหันมาให้ความสำคัญทางการเมืองมากกว่าเทคนิคในการศึกษาเท่านั้น
เดวิด อีสตัน (DAVID EASTON)
- นายกสมาคมรัฐศาสาตร์อเมริกัน ในช่วงปลายทศวรรษ 1960 ขนานนามกระแสการปฎิรูปที่เกิดขึ้นว่าเป็น “การปฏิวัติยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์”
โดยสรุป
เป้าหมาย แนวคิด และวิธีการศึกษาทางรัฐศาสตร์ที่พึงปรารถนาตามแนวคิดเชิงพฤติกรรมศาสตร์ คือ
เนื้อหาสาระในการศึกษาทางรัฐศาสตร์จะต้องมาก่อนเทคนิคในการศึกษาวิเคราะห์ คือ
- รัฐศาสตร์
· ต้องให้ความสำคัญกับการศึกษาปัญหาเร่งด่วนของสังคมในช่วงนั้นอย่างเอาจริงเอาจังและถูกต้องเหมาะสมมากกว่าเครื่องมือในการศึกษาค้นคว้าที่ก้าวหน้าทันสมัย
- รัฐศาสตร์
· ช่วยถ่ายทอดอุดมการณ์อนุรักษ์นิยมทางสังคมที่เน้นการเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป
- รัฐศาสตร์
· ต้องตอบสนองความต้องการที่แท้จริงของมนุษยชาติในยามวิกฤต ไม่เน้นเฉพาะการสร้างหลักทั่วไปที่เป็นนามธรรม
ปัญหาและข้อโต้แย้งในแนวคิดและวิธีการศึกษาทางรัฐศาสตร์
ปัญหาและข้อโต้แย้งในแนวคิดและวิธีการศึกษาทางรัฐศาสตร์ 3 ประเภท คือ
1. ปัญหาและข้อโต้แย้งด้านวิธีการอธิบาย
2. ปัญหาและข้อโต้แย้งในระดับการอธิบาย
3. ปัญหาและข้อโต้แย้งในรูปแบบการอธิบาย
ปัญหาและข้อโต้แย้งด้านวิธีการอธิบาย
ในทางรัฐศาสตร์เป็นผลมาจากมุมมองที่แตกต่างกันระหว่าง 3 แนวคิดหลักที่มีอิทธิพลต่อการอธิบายปรากฏการณ์ในวงการสังคมศาสตร์ คือ
1. แนวคิดเชิงปฏิฐานนิยม
2. แนวคิดเชิงสัจจนิยม
3. แนวคิดเชิงการตีความ
ความแตกต่างในการอธิบายปรากฏการณ์ระหว่างแนวคิดทั้ง 3 เป็นความแตกต่างในด้าน “ภาววิทยา” ปรัชญาความรู้และระเบียบวิธีในการศึกษาปัญหาและข้อโต้แย้งในด้านวิธีการอธิบายระหว่าง 3 แนวคิดก่อให้เกิดความสับสนแก่ผู้ศึกษาว่าวิธีการอธิบายแบบใดถูกต้อง น่าเชื่อถือ และเหมาะสมกับปรากฏการณ์หรือพฤติกรรมทางการเมืองที่ต้องการศึกษามากกว่ากัน
แนวคิดเชิงปฏิฐานนิยม
- เป็นแนวคิดด้านปรัชญาวิทยาศาสตร์สำนักหนึ่งที่ก่อตัวขึ้นมาตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 20
- เป็นที่รู้จักกันในอีกนามหนึ่งว่า (ปฏิฐานนิยมเชิงตรรกวิทยา(LOGICAL POSITIVISM) หรือ ประจักษ์นิยมเชิงตรรกวิทยา(LOGICAL EMPIRICISM)
- เชื่อว่าการอธิบายที่ใช้ในสาขาวิทยาศาสตร์ธรรมชาติสามารถนำมาใช้กับการศึกษาทางสังคมศาสตร์ได้
- เน้นการทำนายปรากฏการณ์
- หาข้อสรุปเชิงทฤษฎีที่ตายตัวเพื่อประโยชน์ในการทำนายและอธิบายในแต่ละกรณี
- ให้ความสำคัญต่อการตั้งสมมติฐานในการศึกษาและอธิบายโดยอาศัยกฏหรือหลักเกณฑ์ทั่วไป เพื่อหาข้อสรุปตามตรรกวิทยาว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างเหตุกับผลเป็นไปตามกฏอย่างคงเส้นคงวาหรือไม่
แนวคิดเชิงสัจจนิยม
- เชื่อว่าการอธิบายที่ใช้ในสาขาวิทยาศาสตร์ธรรมชาติสามารถนำมาใช้กับการศึกษาทางสังคมศาสตร์ได้
- เน้นการอธิบายเป็นหลัก
- หาข้อสรุปเชิงทฤษฎีที่ตายตัวเพื่อประโยชน์ในการทำนายและอธิบายในแต่ละกรณี
- เน้นการสร้างตัวแบบในการอธิบายและสมมติฐานที่ซับซ้อนเพื่อทดสอบว่าโครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยต่างๆและกลไกเชื่อมโยงระหว่างเหตุกับผลตรงตามทฤษฎีเพียงใด
แนวคิดเชิงการตีความ
- การอธิบายปรากฏการณ์ทางสังคมหรือการกระทำของมุษย์มีวิธีการที่แตกต่างจากการอธิบายปรากฏการณ์ทางธรรมชาติโดยสิ้นเชิง
- เน้นการทำความเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นกรณีๆไป เพื่อที่จะรู้ถึงความหมายและแบบแผนที่ก่อให้เกิดการกระทำของมนุษย์และปรากฏการณ์ในแต่ละกรณี
- ไม่สนใจการตั้งสมมติฐานและการใช้กฏเกณฑ์ทางทฤษฎีในการอธิบาย แต่กลับเน้นการเข้าไปสังเกต รับรู้ มีความรู้สึกร่วมกับผู้ที่แสดงพฤติกรรมหรืออยู่ในเหตุการณ์ที่ศึกษาและพยายามทำความเข้าใจปรากฏการณ์ทั้งหมดโดยอาศัยจินตนาการในการตีความและฉายภาพให้เห็นว่าเป็นอย่างไร
จากความแตกต่างในระเบียบวิธีการศึกษาทำให้ 3 แนวคิดมีความแตกต่างกันในขั้นตอนของการวิจัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเก็บและการวิเคราะห์ข้อมูล รวมทั้งผลของการศึกษาที่มักไม่เหมือนกัน
ปัญหาและข้อโต้แย้งในระดับการอธิบาย
เกิดจากความแตกต่างในระดับการมองปรากฏการณ์ซึ่งมีผลต่อแนวคิดด้านระเบียบวิธีในการวิเคราะห์และการอธิบาย ความแตกต่างดังกล่าวสะท้อนออกมาในแนวคิดที่ตรงกันข้าม 2 แนวคิด คือ
1. แนวคิดที่เน้นทางอธิบายจากระดับปัจเจกบุคคล
2. แนวคิดที่เน้นการอธิบายจากระดับหน่วยใหญ่
แนวคิดที่เน้นทางอธิบายจากระดับปัจเจกบุคคล (METHODOLOGICAL INDIVIDUALISM)
- มีความเชื่อว่าสิ่งต่างๆที่เป็นหน่วยใหญ่เกิดจากหน่วยเล็กมารวมกัน
- เนื่องจากมองว่าหน่วยทางสังคมขนาดใหญ่ไม่ได้มีลักษณะเฉพาะตัวที่แตกต่างไปจากคนแต่ละคนแต่อย่างใด
แนวคิดที่เน้นการอธิบายจากระดับหน่วยใหญ่(METHODOLOGICAL COLLECTIVISM)
- เน้นการอธิบายจากระดับหน่วยใหญ่
- เนื่องจากมีความเห็นว่าหน่วยใหญ่ทั้งหลายมีลักษณะที่แตกต่างจากหน่วยจากหน่วยเล็กที่เป็นส่วนประกอบ
ผลที่ตามมาจากข้อโต้แย้งระหว่างแนวคิดทั้ง 2 คือ
- ปัญหาการลดทอนระดับการอธิบาย ที่ก่อให้เกิดข้อโต้แย้งด้านความถูกต้อง และความน่าเชื่อถือในการอธิบายปรากฏการณ์ทางสังคมทั้งสิ้น
ปัญหาและข้อโต้แย้งในรูปแบบการอธิบาย
- เป็นประเด็นแนวคิดหลักที่นำมาใช้อธิบายสาเหตุของการเกิดปรากฏการณ์ และชี้ให้เห็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่การเกิดปรากฏการณ์นั้น
หากพิจารณาปัจจัยพื้นฐานที่ใช้ในการอธิบายปรากฏการณ์รูปแบบในการอธิบายมีเพียง 2 รปแบบ คือ
1. การอธิบายในเชิงผู้กระทำการหรือตัวการ
2. การอธิบายในเชิงโครงสร้าง
การอธิบายในเชิงผู้กระทำการหรือตัวการ
- จะอธิบายสาเหตุของปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมหรือพฤติกรรมต่างๆในสังคมจากปัจจัยที่เกี่ยวกับตัวมนุษย์เอง
การอธิบายในเชิงโครงสร้าง
- เห็นว่าโครงสร้างทางสังคมด้านต่างๆมีอิทธิพลต่อการกระทำของมนุษย์และการเกิดปรากฏการณ์ทางสังคม
สำหรับรัฐศาสตร์
ปัญหาข้อโต้แย้งในรูปแบบอธิบาย คือ ปัญหาข้อโต้แย้งระหว่างการอธิบายในแง่ผู้กระทำการกับการอธิบายในแง่โครงสร้าง ซึ่งก่อให้เกิดปัญหา คือ
1. การเกิดข้อโต้แย้งว่าอะไรคือ ปัจจัยหลักที่เป็นสาเหตุของปรากฏการณ์หรือพฤติกรรมการเมือง นั่นคือ การกระทำของมนุษย์เกิดจากอิทธิพลของปัจจัยด้านโครงสร้างหรือเป็นผลจากปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับผู้กระทำเอง
2. แม้จะนำปัจจัยทั้ง 2 ด้านมาอธิบายปรากฏการณ์ร่วมกันจะอธิบายโดยให้น้ำหนักปัจจัยทั้ง 2 ด้านอย่างถูกต้องและเท่าเทียมกันได้อย่างไร
ปัญหาและข้อโต้แย้งด้านแนวคิดและวิธีการศึกษาทางรัฐศาสตร์ได้กระตุ้นให้เกิดการพัฒนาการขึ้นในแนวการศึกษาทางรัฐศาสตร์ อย่างน้อย 2 ด้าน คือ
1. การหันมาทบทวน แก้ไข และปรับปรุง แนวคิดทางทฤษฎีและระเบียบวิธีในการศึกษาที่มีอยู่ในแนวการศึกษาแบบเดิมตั้งแต่ยุคคลาสสิก มาจนถึง ยุคพฤติกรรมศาสตร์
2. การพยายามเสนอแนวการศึกษาใหม่ๆหรือการนำเอาแนวคิดเก่ามาพัฒนาใหม่เพื่อศึกษาประเด็นปัญหาของสังคมปัจจุบัน
สิ่งที่เกิดขึ้นจากการพัฒนาการทั้ง 2 ด้าน คือ
- ความหลากหลายในแนวการศึกษาทางรัฐศาสตร์
- ส่งผลให้รัฐศาสตร์ในยุคปัจจุบันต้องเผชิญกับภาวะสัมพัทธนิยมด้านปรัชญาความรู้
- ทำให้การศึกษาดด้านรัฐศาสตร์ขาดแนวคิดทฤษฎีและวิธีการหาความรู้ที่มีมาตรฐานเดียวกันและเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปอย่างที่เคยเป็นมาในอดีต
แนวโน้มของการศึกษารัฐศาสตร์
การเปลี่ยนแปลงทิศทางการศึกษาทางรัฐศาสตร์ มาสู่ยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์ได้ส่งผลกระทบทั้งทางบวกและทางลบต่อการศึกษารัฐสาสตร์
ผลบวกคือ
- การเกิดความหลากหลายในการศึกษาปรากฏการณ์ทางการเมือง ดังจะเห็นได้ประเด็นในการศึกษาแนวคิดด้านทฤษฎี และวิธีการค้นคว้าที่ขยายตัวออกไปอย่างกว้างขวาง
ผลทางลบ คือ
- การสูญเสียความเป็นเอกภาพ
- การเผชิญปัญหาด้านอัตลักษณ์ของสาขาวิชารัฐศาสตร์ เพราะการรับเอาแนวคิดที่หลากหลายเข้ามาสู่วงการการศึกษา ทำให้ไม่อาจสร้างรัฐศาสตร์ให้เป็นวิชาที่มีลักษณะเฉพาะตัวและมีขอบข่ายการศึกษาที่แตกต่างจากสังคมศาสตร์สาขาอื่นตามที่นักรัฐศาสตร์ยุคเก่าต้องการ
- ปัญหาในประเด็นเรื่องความชอบธรรม ในแนวคิดและวิธีการศึกษาทางรัฐศาสตร์มากขึ้น
“””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””””
นักคิดนักปรัชญา
ยุคคลาสสิก (กรีก-โรมัน)
นักปรัชญาในกลุ่มโซฟิสต์(THE SOPHISTS) เช่น
- โปรทากอรัส(PROTAGORAS) และ กอร์เจียส (GORGIAS) ที่เริ่มสอนศิลปะการปกครองบ้านเมืองให้แก่สานุศิษย์ของตนเมื่อขบวนการประชาธิปไตยเติบโตขึ้นในนครรัฐเอเธนส์
โซเครตีส (SOCRATES)
- พยายามปลูกฝังแนวคิดเกี่ยวกับนครรัฐในเชิงอุดมคติให้แก่เยาวชนกรีกในระยะถัดมา (1950)
เพลโต (PLATO)
- เกี่ยวกับราชาปราชญ์
อริสโตเติล (ARISTOTLE)
- ว่าด้วยรูปแบบของรัฐบาล(1952)
โพลีบีอุส (POLYBIUS) และ ซิเซโร (CICERO)
- นักคิดชาวโรมันที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบกฏหมายเพื่อจัดระเบียบความสัมพันธ์ภายในรัฐมากกว่าการพัฒนาองค์ความรู้ทางการเมืองโดยตรง
- เป็นเพียงงานตีความและขยายความแนวคิดทางการเมืองของกรีก
เซนต์ออกัสติน (St.AUGUSTINE) และ เซนต์อไควนัส (St.AQUAINAS)
- ยุคกลาง เน้นหนักในการศึกษาด้านรัฐศาสตร์เป็นประเด็นที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่าง คริสจักร กับ อาณาจักร
- การพังทลายของจักรวรรดิโรมันตะวันตกใน ศตวรรษที่ 4 ได้เปิดทางให้ศาสนจักรเข้ามามีอำนาจอย่างกว้างขวางเหนือสังคม
- ในขณะที่อาณาจักรกษัตริย์ภายใต้ระบบ “ฟิวดัล”(FEUDALISM) ยังมีอำนาจค่อนข้างจำกัด
- บรรดานักคิดของฝ่ายศาสนจักรจึงพัฒนาทฤษฎีต่างๆที่ว่าด้วยอำนาจสองฝ่าย(THEORIES OF DIARCHY)ขึ้นเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับความต้องการครอบครองอำนาจสูงสุดของฝ่ายตน
ดังเต (DANTE) มาร์ซิกลิโอแห่งปาดัว(MARSIGLIO OF PADUA) และ วิลเลียมแห่งอ็อกคัม(WILLIAM OF OCKHAM) ปลายยุคกลาง
- นักคิดที่เขียน แนวคิดสนับสนุนฝ่ายกษัตริย์ อันเป็นช่วงที่อำนาจของศาสนจักรเริ่มเสื่อมลง
แมคเคียเวลลี (MACHIAVELLI ) โบแดง (BODIN) และ ฮอบส์ (HOBBES)
- นักคิดที่เขียนถึง รูปแบบของรัฐที่พึงปรารถนาได้แก่รัฐที่สามารถปกป้องผู้คนให้พ้นจากภยันตรายต่างๆ และสร้างความมั่นคงเหนือดินแดนของตนได้(SECURITY STATE)
ล็อค (LOCKE) เพน (PAINE) และ ท็อกเกอวิล (YOGUEVILLE)
- งานเขียนตั้งแต่ศตวรรษที่ 17
- ประเด็นหลักในการศึกษารัฐศาสตร์กลับเปลี่ยนไปสู่การเสนอแนวคิดในการจำกัดอำนาจของรัฐและการค้ำประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชน เมื่อรัฐชาติมีอำนาจมากเกินไปจนกลายเป็น “รัฐสมบูรณาญาสิทธิ์”(ABSOLUTIST STATE)
- ผู้คนในสังคมโดยเฉพาะอย่างยิ่งชนชั้นกลางต้องการสิทธิเสรีภาพในด้านต่างๆมากขึ้น
ยุคสถาบัน
จอห์น เบอร์เกส (JOHN BURGESS)
แฟรงค์ กูดนาว (FRANK GOODNOW)
และมันโร สมิธ (MUNROE SMITH)
- นักรัฐศาสตร์ชาวอเมริกัน
- เป็นการศึกษารัฐศาสตร์ในเชิงสถาบันเช่นเดียวกับยุโรป
- ซึ่งนักรัฐศาสตร์อเมริกันในยุคนี้ส่วนใหญ่สำเร็จการศึกษามาจากยุโรป
- โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากมหาวิทยาลัยในเยอรมัน
- การศึกษารัฐศาสตร์แบบนี้มีอิทธิพลอยู่ในวงการของสหรัฐอเมริกาได้ไม่นานนัก เริ่มเสื่อมความนิยมลงในต้น ศตวรรษที่ 20 ในขณะที่ยังคงเป็นแนวการศึกษารัฐศาสตร์กระแสหลักอยู่ในยุโรปมาจนถึงช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
ยุคเปลี่ยนผ่าน (ช่วงระหว่างต้นศตวรรษที่ 20 จนถึงก่อนสงครามดลกครั้งที่ 2)
อาเธอร์ เบนท์ลีย์ (ARTHER BENTLEY)
- พยายามหาทางพัฒนาขอบข่ายและวิธีการศึกษาด้านรัฐศาสตร์ให้แตกต่างจากประวัติศาสตร์และสังคมสาขาอื่น
- ในงานเขียนที่ตีพิมพ์ในปี 1908 ชื่อ “กระบวนการของรัฐบาล”(THE PROCESS OF GOVERNMENT)
- เห็นว่า ประเด็นหลักในการศึกษารัฐศาสตร์นั้นเป็นเรื่องของกิจกรรมทางการเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกิจกรรมของบรรดากลุ่มผลประโยชน์ทั้งหลายที่แสดงบทบาทจริงๆอยู่ในวงการเมือง
เอ ลอว์เรนซ์ โลเวล (A. LAWRENCE LOWELL)
- เรียกร้องให้นำความรู้ดด้านสถิติมาใช้ในการศึกษารัฐศาสตร์
วูดโรว์ วิลสัน (WOODROW WILSON)
- ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1
- เป็นผู้ริเริ่มที่จะตั้ง “องค์การระหว่างประเทศ”ขึ้น เพื่อสร้างสนัตภาพให้แก่โลก ซึ่งรู้จักกันดีในนามของ “สันนิบาตชาติ”
- ต้องการให้การศึกษาด้านรัฐศาสตร์ให้ความสำคัญกับนโยบายสาธารณะมากขึ้น
เฮนรี โจนส์ ฟอร์ด (HENRY JONES FORD)
เจส เมซี (JESSE MACY)
เบนท์ลีย์
- นักรัฐศาสตร์ชั้นแนวหน้า มีความพยายามที่จะพัฒนารัฐศาสตร์ให้เป็นศาสตร์ในลักษณะเดียวกับวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ
- ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1
ชาลส์ เมอร์เรียม (CHARLES MERRIAM)
- แห่งมหาวิทยาลัย “ชิคาโก” วิพากษ์วิจารณ์สถานะการศึกษารัฐศาสตร์ ในบทความที่ตีพิมพ์ในวารสารของสมาคมรัฐศาสตร์อเมริกันในปี 1921
- นำไปสู่การจัดตั้ง “คณะกรรมการวิจัยทางรัฐศาสตร์”ที่เมอร์เรียม ดำรงตำแหน่งประธานใน “สมาคมรัฐศาสตร์อเมริกัน”
- ศึกษาพฤติกรรมการอออกเสียงเลือกตั้งของชาวเมืองชิคาโกโดยอาศัยวิธีการ “วิจัยสนาม การสุ่มตัวอย่าง และการสัมภาษณ์
อาเธอร์ โฮลคอมบ์ (ARTHER HOLCOMBE)
- พยายามเอาแนวคิดและวิธีการศึกษาที่แปลกใหม่สำหรับวงการรัฐศาสตร์มาศึกษาปรากฏการณ์ทางการเมือง
- นำเอาวิธีการจำแนกเขตเลือกตั้งตามภูมภาค ลักษณะทางเศรษฐกิจ และ
สจวร์ต ไรซ์ (STUART RICE)
- พยายามเอาแนวคิดและวิธีการศึกษาที่แปลกใหม่สำหรับวงการรัฐศาสตร์มาศึกษาปรากฏการณ์ทางการเมือง
- ใช้เทคนิคการหาสหพันธ์ในทางสถิติมาศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างรูปแบบการออกเสียงเลือกตั้งกับข้อมูลด้านประชากรและด้านนิเวศวิทยา
ฮาโรลด์ กอสเนล (HAROLD GOSNELL)
- พยายามเอาแนวคิดและวิธีการศึกษาที่แปลกใหม่สำหรับวงการรัฐศาสตร์มาศึกษาปรากฏการณ์ทางการเมือง
- ศึกษาพฤติกรรมการอออกเสียงเลือกตั้งของชาวเมืองชิคาโกโดยอาศัยวิธีการ “วิจัยสนาม การสุ่มตัวอย่าง และการสัมภาษณ์
จี อี คัทลิน (G.E.G. CATLIN) ในปี 1927
- งานเขียนเกี่ยวกับวิธีการศึกษารัฐศาสตร์ในเชิงวิทยาศาสตร์
ฮารโรลด์ ลาสเวล (HAROLD LASWELL)
- การศึกษาการโฆษณาชวนเชื่อตามแนวคิดทางจิตวิทยา
เลียวนาร์ด ไวท์ (LEONARD WHITE) ในปี 1929
- สำรวจทัศนคติของคนในชุมชนต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐ
มหาวิทยาลัยชิคาโก
- เป็นสถาบันการศึกษาทางรัฐศาสตร์ที่มีคุณูปการต่อการพัฒนาแนวคิดและทิศทางในการศึกษารัฐศาสตร์ในระยะนี้
- ภาควิชารัฐศาสตร์นับว่ามีบทบาทโดดเด่นที่สุดจนถือว่าเป็น “ศูนย์กลางของการศึกษารัฐศาสตร์แนวใหม่”
- หัวหน้าภาควิชา คือ “เมอร์เรียม” เป็นบุคคลสำคัญที่ผลักดันให้นำเอาแนวคิดและวิธีการศึกษาใหม่ๆเข้ามาใช้ในการศึกษาทางรัฐศาสตร์และยังมีบทบาทในการก่อตั้งคณะกรรมการวิจัยสังคมศาสตร์ในมหาวิทยาลัยชิคาโกและสภาวิจัยสังคมศาสตร์(social science research council) ของสหรัฐอเมริกา
- นอกจากนั้นนักรัฐศาสตร์สำนักนี้ เช่น เมอร์เรียม กอสเนล หรือ ลาสเวล ยังเป็นผู้บุกเบิกในการผลิตผลงานรัฐศาสตร์แนวใหม่อีกด้ดวย
- รัฐศาสตร์สำนักชิคาโก จึงมีส่วนในการวางรากฐานการศึกษารัฐศาสตร์ “เชิงพฤติกรรมศาสตร์”ที่เกิดขึ้นภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นอย่างมาก
ยุคพฤติกรรมศาสตร์
เดวิด อีสตัน (DAVID EASTON)
- ให้ทรรศนะของลักษณะของการศึกษาด้านพฤติกรรมทางการเมืองสามารถเห็นได้จากวัตถุประสงค์และฐานคติหลักในการศึกษาด้านนี้ 8 ประการ
ยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์
เดวิด อีสตัน (DAVID EASTON)
- นายกสมาคมรัฐศาสตร์อเมริกันในช่วงปลายทศวรรษ 1960
- ขนานนามกระแสการปฏิรูปที่เกิดขึ้นว่าเป็น “การปฏิวัติยุคหลังพฤติกรรมศาสตร์” (THE POST-BEHAVIORAL REVOLUTION) และนับแต่นั้นมาทิศทางใหม่ในการศึกษาทางรัฐศาสตร์ที่เรียกว่าแนวคิดเชิงหลังพฤติกรรมศาสตร์(POST-BEHAVIORAISM) ก็เริ่มปรากฏชัดขึ้น
ปัญหาและข้อโต้แย้งในแนวคิดและวิธีการศึกษาทางรัฐศาสตร์
เจ โดนัลด์ มูน ( J.DONALD MOON)
- ใน HANDBOOK OF POLITICAL SCIENCE ปี 1975
- ชี้ให้เห็นข้อโต้แย้งในการอธิบายปรากฏการณ์ทางการเมืองระหว่างตัวแบบการอธิบายแนวการตีความ (INTERPRETATIVE MODEL)
- เสนอแนวการอธิบายเชิงการตัดสินใจเลือกอย่างมีเหตุผล (RATIONAL CHOICE) เป็นทางออกของข้อโต้แย้ง
แกเบรียล เอ อัลมอนด์ (GABRIEL A. ALMOND)
- นำเอาปัญหาความสามารถในการอธิบายปรากฏการณ์ของรัฐศาสตร์มาพิจารณาโดยอาศัยแนวคิดนักปรัชญาวิทยาศาสตร์ ชื่อ คาร์ล ป๊อปเปอร์ (KARL POPPER) เกี่ยวกับความสามารถในการอธิบายของศาสตร์ต่างๆ ว่าอยู่ระหว่างการอธิบายได้อย่างเที่ยงตรงเหมือนกับการทำงานของนาฬิกาและการอธิบายอย่างคร่าวๆ เหมือนกับการอธิบายการเคลื่อนตัวของเมฆ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น